สังคมสูงวัย
สังคมสูงวัย

The Future of Aging : สังคมสูงวัย เตรียมพร้อมแค่ไหน ?

เรื่องโดย ภาษา Z (Z Language)

โลกของเรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจอนาคตของสังคมสูงวัย โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทย และตั้งคำถามสำคัญว่า เราพร้อมรับมือกับความท้าทายนี้แล้วหรือยัง? และเราควรทำอย่างไรเพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืนสำหรับทุกช่วงวัย

คุณเคยสังเกตไหมว่า ในครอบครัวของคุณ หรือในสังคมรอบตัว มีผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เนื่องจากความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้อายุขัยเฉลี่ยของคนเรายาวนานขึ้น ในขณะที่อัตราการเกิดกลับลดลง ส่งผลให้โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ

สังคมสูงวัย (Aging Society) หมายถึง สังคมที่มีสัดส่วนของผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) มากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด หรือมีสัดส่วนของผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) มากกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ยืนยันถึงเกณฑ์นี้ และหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว และคาดการณ์จากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” (Super-Aged Society) ในอนาคตอันใกล้นี้

สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีสัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้ โดยในปี พ.ศ. 2564 ประเทศไทยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 18.3 ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มเป็นร้อยละ 28.0 ในปี พ.ศ. 2574 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรนี้ ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนในสังคมไทย

แล้วนานาประเทศที่เผชิญหน้ากับสังคมสูงวัยมาก่อนหน้าเรา พวกเขารับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างไร อย่างประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจและเป็นเหมือน “คู่มือ” ชั้นดีให้เราได้เรียนรู้ พวกเขาเผชิญกับสังคมสูงวัยมานานหลายทศวรรษ และได้พัฒนานวัตกรรมและนโยบายต่างๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างจริงจัง

ในด้าน “เศรษฐกิจ” ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก พวกเขาจึงมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุยังคงมีบทบาทในตลาดแรงงานผ่านการจ้างงานที่ยืดหยุ่นและการฝึกอบรมทักษะใหม่ๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญกับการสร้างระบบบำเหน็จบำนาญและสวัสดิการผู้สูงอายุที่มั่นคง เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการดูแลระยะยาวที่เพิ่มขึ้น

ในด้าน “สังคม” ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อผู้สูงวัย การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกและปลอดภัย รวมถึงการส่งเสริมกิจกรรมทางสังคมและการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อป้องกันภาวะเหงาและส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ นอกจากนี้ การสร้างความเข้าใจและการยอมรับความแตกต่างระหว่างวัยก็เป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญ เพื่อให้คนทุกช่วงวัยสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

ในด้าน “เทคโนโลยีและนวัตกรรม” ญี่ปุ่นถือเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อผู้สูงอายุ (Silver Tech) ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

จากบทเรียนของญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยก่อนหน้าเรา ทำให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นถึงความท้าทายและโอกาสที่รออยู่เบื้องหน้า การรับมือกับสังคมสูงวัยของประเทศไทยจึงไม่ใช่เรื่องที่เราจะเพิกเฉยได้อีกต่อไป เราต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น ปรับประยุกต์ให้เข้ากับบริบทของสังคมไทย และเร่งเครื่องเตรียมความพร้อมในทุกมิติ

แล้วประเทศไทยของเราพร้อมแค่ไหนที่จะเดินตามรอยเท้าของประเทศผู้นำเหล่านั้น และเราจะสร้างสรรค์แนวทางการรับมือที่เป็นเอกลักษณ์ของเราได้อย่างไร? หัวใจสำคัญของการรับมือกับสังคมสูงวัยอยู่ที่ความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง :

  • ภาครัฐ : ต้องเป็นหัวเรือใหญ่ในการวางนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรงบประมาณ การพัฒนาระบบสวัสดิการและบริการสุขภาพ การส่งเสริมการมีงานทำของผู้สูงอายุ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต
  • ภาคเอกชน : มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุ สร้างโอกาสการจ้างงานที่ยืดหยุ่น และสนับสนุนนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงวัย
  • ภาคประชาสังคม : เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ ให้การสนับสนุนและบริการแก่ผู้สูงอายุ และเป็นกระบอกเสียงในการเรียกร้องสิทธิของผู้สูงวัย
  • ประชาชนทุกคน : ต้องตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมด้วยตนเอง ทั้งด้านการเงิน สุขภาพ การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง

อย่างไรก็ตามอย่าเพิ่งมองว่าสังคมสูงวัยเป็นเพียง “ปัญหา” เพราะในทุกความท้าทายย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่ หากเราเตรียมพร้อมรับมืออย่างชาญฉลาด สังคมสูงวัยอาจกลายเป็นโอกาสในการสร้างสังคมที่แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น เราสามารถส่งเสริมศักยภาพของผู้สูงอายุให้ยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างสังคมที่เปิดกว้างและให้คุณค่ากับทุกช่วงวัย

ประเทศไทยเองก็เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมเทคโนโลยีสำหรับผู้สูงอายุ หรือการสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตในกลุ่มผู้สูงวัย แต่อย่างไรก็ตาม หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล และต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

อนาคตของสังคมสูงวัยอยู่ในมือของเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป การร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมที่พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ คือก้าวสำคัญที่จะนำพาเราไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและมีความสุข