เรื่องโดย MeloMe
ใครจะไปคิดว่าเพลงเก่าที่เคยฟังตอนเด็ก จะกลับมาติดชาร์ต TikTok ได้อีกครั้ง พร้อมกับท่าเต้นใหม่ๆ สุดป๊อป? ปรากฏการณ์ “Rewind Hits” ไม่ใช่แค่กระแส แต่คือการเดินทางข้ามเวลาของดนตรี ที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และหัวใจของคนฟัง
ปรากฏการณ์ “Rewind Hits” นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแสที่เกิดขึ้นแล้วหายไป แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการหวนคืนสู่ชาร์ตเพลงของบทเพลงในอดีต หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือ “ความเชื่อมโยงทางอารมณ์” ที่เพลงเก่าเหล่านี้มอบให้กับผู้ฟัง ไม่ใช่แค่ “พลังแห่งความคิดถึง (Nostalgia)” ดนตรีมีความสามารถพิเศษในการเชื่อมโยงเรากับความทรงจำ ช่วงเวลา หรือแม้แต่ความรู้สึกในอดีต เพลงเก่าๆ ที่เคยสร้างความสุข ความเศร้า หรือเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของชีวิต เมื่อถูกนำกลับมาฟังอีกครั้ง จึงสามารถกระตุ้นความรู้สึกเหล่านั้นให้หวนคืนมาได้ สำหรับคนฟังที่เติบโตมากับเพลงเหล่านั้น การได้ฟังอีกครั้งก็เหมือนกับการได้กลับไปสัมผัสช่วงเวลาดีๆ ในอดีต
ส่วนคนรุ่นใหม่ที่อาจจะไม่เคยฟังมาก่อน ก็อาจจะรู้สึกทึ่งกับความไพเราะและเสน่ห์ของเพลงที่อยู่เหนือกาลเวลาแต่เป็นการส่งต่อบรรยากาศของยุคสมัย ความรู้สึก และเรื่องราวที่ฝังอยู่ในเพลงเหล่านั้น พอถูกนำกลับมาใช้ในบริบทใหม่ อย่างวิดีโอทำอาหาร ท่าเต้นน่ารัก หรือวิดีโอเล่าเรื่องชีวิต เพลงนั้นก็กลายเป็นภาพจำใหม่ที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกของคนฟังในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น เพลง “Running Up That Hill (A Deal With God)” ของ Kate Bush ที่กลับมาฮิตถล่มทลายอีกครั้งหลังจากถูกนำไปใช้ในซีรีส์ดัง หรือเพลงป็อปยุค 2000s อย่าง “..Baby One More Time” ของ Britney Spears ที่ยังคงถูกนำมาคัฟเวอร์และเต้นตามกันอย่างสนุกสนาน ในฝั่งเพลงไทยเองก็มีเพลงเก่าๆ มากมายที่กลับมาเป็นกระแส ไม่ว่าจะเป็นเพลงรักอกหักอย่าง “Unfriend” ของ Helmetheads ที่กลับมาฮิตในกลุ่มวัยรุ่น หรือเพลงป็อปแดนซ์อย่าง “Ooh!” ของ D2B ที่ชวนให้คิดถึงบรรยากาศยุค Y2K
นอกจากนี้ “อัลกอริทึม” ของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียก็มีบทบาทอย่างมาก ยิ่งวิดีโอไหนใช้เพลงหนึ่งซ้ำๆ จนมีแนวโน้มจะไวรัล ระบบก็จะผลักดันเพลงนั้นให้เข้าถึงคนหมู่มากอย่างรวดเร็ว เพลงที่อาจไม่เคยฮิตในยุคตัวเองก็สามารถกลายเป็นเมนสตรีมในยุคนี้ได้ ตัวอย่างเช่นเพลง “Dreams” ของ Fleetwood Mac ที่กลายเป็นไวรัลหลังชายคนหนึ่งโพสต์วิดีโอตัวเองสเก็ตบอร์ดพร้อมน้ำผลไม้และเพลงนี้เบาๆ ใครจะคิดว่าแค่นั้นก็เปลี่ยนชีวิตเขา และทำให้เพลงขึ้นอันดับชาร์ตอีกครั้งหลังหายไปนานกว่า 40 ปี ในประเทศไทยเอง เพลงเก่าหลายเพลงก็กลับมาฮิตเพราะถูกนำไปใช้ใน TikTok เช่น เพลงลูกทุ่งสนุกๆ อย่าง “รักควรมีสองคน”ของ พรศักดิ์ ส่องแสง หรือเพลงป็อปเศร้าๆ อย่าง “Visitor” ของ ETC
วงการเพลงเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย หลายศิลปินเริ่ม “รีมาสเตอร์” หรือ “รีอิมเมจ” เพลงเก่า ทำเวอร์ชันใหม่ที่ยังเคารพต้นฉบับแต่ใส่กลิ่นอายยุคใหม่เข้าไป เช่น การเพิ่มบีตฮิปฮอป หรือดึงศิลปินรุ่นใหม่มาร่วมฟีเจอริ่ง ทำให้เพลงเข้าถึงคนรุ่นใหม่โดยไม่รู้สึกว่าเชยเกินไป กลายเป็นการเชื่อมยุคสมัยที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ คุณภาพของเพลงเองก็เป็นปัจจัยสำคัญ เพลงที่สามารถยืนหยัดผ่านกาลเวลามาได้ มักจะเป็นเพลงที่มีเนื้อหาดี ทำนองไพเราะ และมีการเรียบเรียงดนตรีที่ลงตัว แม้ว่าเทคโนโลยีการผลิตเพลงจะพัฒนาไปมาก แต่เพลงเก่าๆ เหล่านี้ก็ยังคงมีความสดใหม่และน่าฟังอยู่เสมอ
สำหรับคนฟัง เพลงเก่าอาจไม่ใช่แค่เพลง หากแต่คือ “พื้นที่ปลอดภัย” ที่พาเรากลับไปสู่ช่วงเวลาที่ง่ายขึ้น อารมณ์ที่ใสบริสุทธิ์ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ที่ยังไม่ซับซ้อน และการได้แชร์เพลงเหล่านี้ในยุคนี้ก็เหมือนกับการส่งต่อความทรงจำในรูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องย้อนเวลา แต่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการได้กลับบ้าน
สุดท้ายแล้ว เพลงเก่าจะกลับมาฮิตอีกกี่ครั้ง ก็ขึ้นอยู่กับหัวใจของคนฟัง ว่าเรายังเชื่อมโยงกับเนื้อหา เสียงดนตรี และความรู้สึกที่มันมอบให้ได้มากแค่ไหน ในโลกที่เปลี่ยนเร็วทุกวินาที เพลงเก่าจึงกลายเป็นของขวัญชิ้นพิเศษที่ยังคงมีความหมาย…เสมอ ปรากฏการณ์ Rewind Hits ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของความบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากหลายปัจจัยที่ผสมผสานกัน ไม่ว่าจะเป็นพลังแห่งความคิดถึง อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย หรือคุณภาพของเพลงเอง ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าดนตรีเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกาลเวลา และเพลงที่ดีไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ยังคงสามารถสร้างความสุขและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนได้เสมอ